วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

1. ร้านไอสกรีม iberry นำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการในการบริการ การขาย อย่างไรบ้าง อธิบาย

เทคโนโลยีไฮเทคเพื่อการบริหารงานร้านไอศครีม iberry

Iberry ไอศครีมโฮมเมด รสชาดผลไม้ไทยๆ ก่อกำเนิดจากสองผู้บริหาร พี่น้องหนุ่มสาว ตัวอย่างคนรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างคุณวิวัฒน์ และคุณอัจฉรา บุราลักษณ์ หรือคุณก๋อยและคุณปลา ที่เริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์ แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการผลิตไอศกรีมมาก่อน แต่เพราะความชอบส่วนตัว ร้านไอศกรีมแห่งนี้จึงเกิดขึ้น จากร้านไอศกรีมเล็กๆ ร้านแรก ปัจจุบัน iberry ได้ขยายร้านไอศกรีมไปถึง 10 สาขา คือในกรุงเทพ 9 สาขา และต่างจังหวัดอีก 1 สาขา ทำให้ทางร้านจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการดำเนินธุรกิจเพราะต้นทุนของไอศกรีมระดับคุณภาพแบบนี้ไม่ใช่ถูกๆ ถ้าไม่ใช้เทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการ อาจต้องสูญเสียจนเกินทุนก็ได้สำหรับการผลิตไอศกรีม คุณปลานำเครื่องผลิตไอศกรีมโดยเฉพาะมาจากต่างประเทศ ซึ่งเครื่องนี้จะระบุได้ว่าจะผลิตไอศกรีมแต่ละรสจำนวนกี่กิโลกรัม เครื่องตักดิจิตอลก็จะคำนวณว่าต้องตักวัตถุดิบแต่ละอย่างจำนวนเท่าไร และจะคำนวณเวลาและอุณหภูมิที่ต้องใช้ให้ด้วย ซึ่งระบบจะมีการควบคุมที่แม่นยำใช้เซนเซอร์ควบคุมความเย็นส่วนการควบคุมความเย็นของตู้ ไอศกรีมให้มีอุณหภูมิคงที่ ไม่ให้ปัญหาไฟดับหรือตู้ไม่ทำงานส่งผลให้ไอศกรีม เกิดความเสียหาย คืนรูป หรือเสียรสชาดไปนั้น คุณปลาได้แก้ปัญหาด้วยการติดตั้งตัวเซนเซอร์ที่ตู้ไอศกรีมแต่ละสาขา โดยการแนะนำของคุณกาญจน์ ทองใหญ่ Managing Director ของบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยและระบบศูนย์ควบคุมและสั่งการ ซึ่งหากอุณหภูมิหรือกระแสไฟฟ้าในตู้ผิดปกติหรือเปลี่ยนแปลงไป เช่น ตู้เย็นร้อนขึ้นผิดปกติ ตัวเซนเซอร์จะส่งสัญญาณไปที่กล่องควบคุมซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับระบบโทรศัพท์ เพื่อโทรศัพท์แจ้งไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุของบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด ที่ตึกล็อกซเลย์โดยอัตโนมัติ ซึ่งที่ศูนย์ฯ จะมีพนักงานคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบปัญหาและปฏิบัติการแก้ไขตามขั้นตอนที่ทาง iberry กำหนดไว้เมื่อเกิดเหตุผิดปกติในแต่ละสาขา เช่น บริการโทรตามพนักงานที่รับผิดชอบประจำสาขานั้นกลับมาดูแลและแก้ไข พร้อมทั้งแจ้งให้เจ้าของร้านทราบ
ซอฟต์แวร์บริหารร้านเพื่อแผนการตลาดที่ดี
ด้านการบริหารร้านสาขา คุณปลาได้ติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีซอฟแวร์สำหรับธุรกิจห้องอาหารของบริษัท กีออสโต้ จำกัด ชื่อ Kiosque ในทุกสาขา ซึ่งระบบจะส่งข้อมูลยอดขายในแต่ละวันของแต่ละสาขาออนไลน์ไปรวมกันที่สำนักงานใหญ่ทุกสิ้นวัน ทำให้คุณปลาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการขายและข้อมูลต่างๆ รู้ว่าในหนึ่งวันหรือหนึ่งปีมีอะไรถูกขายไปบ้าง แยกเป็นอะไรบ้าง ตัวไหนขายดี ช่วงไหน เสาร์ อาทิตย์ อะไรขายดี หรือหน้าหนาวขายดีหรือไม่ ทำให้คุณปลารู้ว่าจะวางแผนการตลาดอย่างไร “เมื่อก่อน ถ้าอยากทราบว่าไอศกรีมรสใดขายดี ต้องมานั่งไล่บิลแล้วบวกเอง ซึ่งใช้เวลานาน แต่เมื่อมีระบบ เราจะรู้ว่าเราขายได้เท่าไร ขายอะไรได้บ้าง จากจุดนี้เราสามารถรู้แนวทางสำหรับวางแผนการตลาดที่ดีได้”
ส่วนการควบคุมการขายไอศกรีมของพนักงานมิให้มีการทุจริต คุณปลาใช้วิธีชั่งน้ำหนักไอศกรีมที่เหลือแต่ละถังไว้ เพื่อหาปริมาณไอศกรีมที่ขายไปในแต่ละวัน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับปริมาณที่ควรขายได้จากข้อมูลยอดขายที่ได้รับจากระบบ ซึ่งผลต่างบวก-ลบไม่ควรเกิน 5-10% ซึ่งเป็นการป้องกันการทุจริตของพนักงานได้วิธีหนึ่ง แต่คุณปลาให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “บางทีการทำธุรกิจก็อย่าไปซีเรียสมากเกินไป อาจหลับหูหลับตาบ้าง เพราะเราไม่สามารถควบคุมได้เป๊ะๆ”การตรวจสอบและควบคุมพนักงาน
เทคโนโลยีอีกอย่างที่iberry นำมาใช้บริหารจัดการพนักงาน แม้จะมีความเชื่อใจ และมีการควบคุมพนักงานด้วยการแบ่งสายบังคับบัญชาได้ในระดับหนึ่ง ก็คือ การติดตั้งระบบ CCTV เพื่อดูแลและติดตามพฤติกรรมของพนักงานภายในร้านทุกสาขาได้ตลอดเวลาไม่ว่าเจ้าของร้านจะอยู่ตรงส่วนไหน เพียงมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ก็พอ โดยคุณปลากล่าวว่า “ตอนนี้เราทดลองติดตั้ง CCTV ไปสาขาเดียว เพื่อดูว่าเด็กที่ร้านทำอะไรอยู่ หรือมีพฤติกรรมอย่างไร ซึ่งปลาสามารถดูออนไลน์ที่บ้านได้” ตรงจุดนี้ช่วยแก้ปัญหาที่ iberry มีหลายสาขา ซึ่งเจ้าของร้านไม่สามารถเข้าไปดูแลทุกสาขาด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดีอนาคตที่ไม่หยุดยั้งของ iberry
สำหรับในอนาคตทาง iberry ก็ไม่หยุดระบบไอทีไว้เพียงแค่นี้ แต่มีแผนการนำไอทีมาใช้ในเรื่องของการจัดการแบ็กออฟฟิศให้ดีขึ้น สามารถติดตาม ตรวจสอบข้อมูลได้มากขึ้น เพื่อการบริหารงานในลักษณะที่เจาะลึกขนาดที่ว่า ไอศกรีมถาดนี้ใช้วัตถุดิบอะไรบ้างในการผลิต แต่ละชนิดจะผลิตส่งมาเท่าไร เมื่อไร และสามารถกลับไปตรวจสอบได้ตั้งแต่เริ่มต้นเลย เช่น สมมติว่านมถังนี้ผลิตไอศกรีมเป็นถาด ส่งไปที่ไหนบ้าง เนื่องจากถ้ามีปัญหาเราสามารถดึงไอศกรีมเหล่านั้นกลับมาตรวจสอบได้ทันเวลา เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค และเป็นการรับประกันคุณภาพของไอศกรีม iberry ด้วยนี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการประยุกต์ใช้ไอทีในธุรกิจในสไตล์ iberry ร้านไอศกรีมโฮมเมดแบบไทยๆที่น่าติดตาม

2. ผู้บริหารสามารถใช้ ICT ตรวจสอบคุณภาพสินค้าได้อย่างไร อธิบาย
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานร้านไอศครีม
1.) ประโยชน์ที่ร้านไฮศครีม lberry นำไอทีเข้ามาช่วยการบริหารงาน นอกจากการแก้ปัญหาข้างต้นแล้ว ท่านคิดว่าทางร้านยังได้รับประโยชน์ใดบ้างด้านการสั่งซื้อวัตถุดิบที่ขาดแคลน และ การบริการการส่งไอศครีม Iberry1.1ด้านการสั่งซ้อวัตถุดิบที่ขาดแคลน เนื่องจาก ร้านมีสาขา เยอะ แล้วในการจำหน่วยไอศครีม อาจจะมีบางช่วงที่ลูกค้าหนาแน่น จึ่งทำให้วัตถุดิบภายในร้านหมดลง ในการนี้ที่ร้าน ใช้ระบบ It จึงมีความจำเป็น ในด้านการสั่งซื้อของโดยตรงจาก สำนักงานใหญ่ หรือสาขาที่มีความรับผิดชอบในเรื่องการจัดส่งวัตถุดิบเข้าร้านไอศครีม Iberry1.2การบริการด้านการส่งไอศครีม Iberryทางร้านอาจจะใช้การสั่งซื้อ ผ่านระบบเครือข่าย Internet หรือ ระบบ Network แล้วในการส่งก็ต้องใช้ความชำนาญทางร้านไอศครีม ก็อาจจะ ใช้ ระบบ GPRS เข้ามาช่วยในระบบการส่งไอศครีม ให้กับผู้ที่สั่งซื้อ เป็นต้น2.) ท่านคิดว่าในอนาคตร้านไอศครีม lberry สามารถนำไอทีเข้ามาช่วยงานด้านใดอีกได้บ้างร้านไอศครีม Iberry สามาถนำไอทีเข้ามาช่วยงานในด้าน การขาย และการจัดส่ง2.1 ในด้านการขาย ทางร้านอาจจะนำระบบ อินเทอร์เน็ต ในการทำเวปไซด์ ของกิจการร้านเพื่อทำให้ ผู้บริโภคได้รู้จัก ร้านไอศครีม Iberry มากยิ่งขึ้น2.2 การจัดส่ง เนื่องด้วยเป็นร้านไอศครีมการจัดส่งในแต่ละครั้ง จึงควรต้องมีความรวดเร็วในการจัดส่งไอศรีม ทางร้านจึงอาจจะนำระบบ GPRS เข้ามาช่วยระบบตำแหน่งที่จัดส่งอย่างแม่นยำ และจะช่วยลดเวลาในการหา ตำแหน่งที่จัดส่ง อีกด้วย3.) จากแนวคิดการนำไอทีมาใช้แก้ปัญหาของผู้บริหาร้านไอครีม lberry นั้น ท่านคิดว่าสามารถนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจใดได้บ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบแนวคิดนี้สามารถประยุกต์ใช้กับธุรกิจ ร้านขายไม้ดอกและไม้ประดับ3.1 ใช้ระบบเซนเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิอากาศ และควบคุมระบบการปล่อยน้ำลดต้นไม้3.2 นำเอาระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ด้วยระบบ Network Camera เข้ามาใช้ภายในร้าน ทำให้สามารถบันทึกภาพและเหตุการณ์ภายในร้านได้ตลอดเวลา และทราบถึง สภาพของต้นไม้ ที่เราเลี้ยงไว้ขายอีกด้วย3.3 ใช้ระบบ Internet เข้ามามีบทบาทในการโปรโมทร้าน เพื่อทำให้บุคคล หรือผู้ที่สนใจ ได้รู้จัก ร้านขายไม้ดอกไม้ประดับ ดีมากยิ่งขึ้น และเขียน Forum เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความสนใจ ในพันธ์ ไม้ ต่างๆ ในแวดวงธุรกิจเดียวกัน3.4 ใช้ระบบ เครื่องข่าย Network หรือ Internet ในการสั่งซื้อหรือจัดจำหน่าย และใช้ระบบ GPRS

1 .บริษัทการบินไทยนำ ICT มาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจการบินอย่างไรบ้าง? (10 แนน)
การบินไทย เปิดตัวโครงการ IT Sparkling for 50 th THAI Anniversary ให้บริการข้อมูลการบิน แก่ลูกค้า และผู้โดยสาร ผ่านระบบมือถือ
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการ IT Sparkling for 50 th THAI Anniversary 1960 - 2010 ฉลองการบินไทย ครบรอบ 50 ปี พัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับธุรกิจสายการบินรูปแบบใหม่ เพื่อให้บริการข้อมูล ด้านตารางบิน เที่ยวบิน โปรโมชั่นบัตรโดยสาร โปรแกรมไมล์สะสม และข้อมูลด้านคลังสินค้าและไปรษณียภัณฑ์การบินไทย ให้แก่ลูกค้าและผู้โดยสารโดยตรง ผ่านทาง SMS บนโทรศัพท์มือถือ ในรูปแบบ Mobile Service ของการบินไทย ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง 3 สถาบัน คือการบินไทย สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือ SIPA และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย หรือ ATCI เพื่อสนับสนุนและยกมาตรฐานอุตสาหกรรมการผลิตซอฟต์แวร์ของประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรม Airline Industry
นาย ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการ IT Sparkling for 50 th THAI Anniversary 1960 - 2010 นี้ เป็นโครงการพัฒนาและประยุกต์ระบบสารสนเทศอันทันสมัยมาสนับสนุนหรือต่อยอดใน งานบริการข้อมูลทางด้านธุรกิจการบินของการบินไทย ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกและเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้โดยสารและลูกค้าที่ต้องการทราบข้อมูลการบินของการบินไทย อาทิ ข้อมูลด้านตารางบิน เที่ยวบิน โปรโมชั่นบัตรโดยสาร โปรแกรมสะสมไมล์ ตารางการขนส่งสินค้า หรือ Cargo Flight Schedule และเกมส์ ผ่านทางระบบโทรศัพท์มือถือ(Smart Phone) ในรูปแบบของ Mobile Services ซึ่งง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน ซึ่งระบบนี้ได้ริเริ่มจากพนักงานการบินไทย จากหลายหน่วยงานได้ร่วมกันคิดค้น และพัฒนาระบบดังกล่าวด้วยตนเอง และผลงานที่ได้จากโครงการฯ นี้ จึงทำให้ การบินไทย จัดเป็นสายการบินแรกของโลกที่ได้พัฒนาระบบข้อมูลเกี่ยวกับ ตารางการขนส่งสินค้า หรือ Cargo Flight Schedule และเกมส์ ผ่านทางระบบมือถือ
สำหรับ ระบบ Mobile Services ของโครงการ IT Sparkling for 50 th THAI Anniversary 1960 - 2010 นี้ ประกอบด้วย
1.บริการข้อมูลการบินตอบกลับอัตโนมัติ (SMS Query) ผ่านเมนูบน DSTK Sim ผู้โดยสารและลูกค้าจะได้รับข้อมูลเที่ยวบิน ตารางการบิน โปรโมชั่นบัตรโดยสาร โปรแกรมสะสมไมล์ และข้อมูลด้านคลังสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ของการบินไทย ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
2.บริการข้อมูลการบินตอบกลับอัตโนมัติ ผ่านการสั่งการด้วยเสียง (Speech Recognition)ผู้โดยสาร และลูกค้า สามารถทราบข้อมูลเที่ยวบิน ตารางบิน ข้อมูลการส่งสินค้า ตรวจสอบคะแนนไมล์สะสม และตรวจสอบการสำรองที่นั่ง เป็น Return SMS ผ่านการสั่งการด้วยเสียงพูดของตน
3.Mobile Game : LITTLE CAPTAIN
เป็น Mobile Game น่ารักที่การบินไทยมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่จะมอบให้เป็นของขวัญให้กับผู้โดยสารและลูกค้าของการบินไทยและทุกคนทั่ว โลก ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ซึ่งเป็น ความร่วมมือระหว่าง การบินไทย และบริษัทผู้ผลิตเกมส์คนไทย โดย การบินไทย จะเป็นสายการบินแรกของโลกที่พัฒนา Mobile Game ให้ผู้โดยสารและลูกค้าได้เล่นผ่าน iPhone, iPod Touch และ iPAD โดยผู้เล่นจะทำหน้าที่เป็นกัปตันบังคับ เครื่องบินไปลงจอดยังจุดบินต่างๆ ที่การบินไทยให้บริการ ได้อย่างสนุกสนาน และตื่นตาตื่นใจกับฉากสุด น่ารักของเกมส์นี้ ขณะเดียวกัน LITTLE CAPTAIN ยังได้มี Application ของ Flight Monitor ที่จะช่วยเตือนให้ผู้เล่นได้รับทราบถึงสถานะปัจจุบันของเที่ยวบินที่ต้องการ ได้ตลอดเวลา (Flight Monitor) พร้อมทั้ง สามารถเลือกดูข้อมูลโปรโมชั่นของการบินไทยหรือจะเชื่อมต่อไปยังเว็ปไซต์ http://m.thaiairways.com ได้อีกด้วย

4.บริการ Widgets/Gadgets และ Web Script
โดย แสดงข้อมูลการบินและการบริการของการบินไทย เพื่อให้ผู้พัฒนาเว็ปไซต์ (Web Site Developer) ผู้พัฒนาบล็อก (Blog Developer/Bloger)ผู้สร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ (SocialNetwork Builder) และอื่นๆ สามารถนำข้อมูลของการบินไทยไปเผยแพร่แก่สมาชิกได้สำหรับ ความร่วมมือระหว่าง การบินไทย สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ(องค์กรมหาชน) หรือ SIPA และ สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย หรือ ATCI ในครั้งนี้เพื่อเปิดโอกาส และสนับสนุนให้นักพัฒนาและผู้ผลิตซอฟต์แวร์ไทย ได้พัฒนาและยกระดับมาตรฐานของตนเองให้ก้าวไปสู่ในธุรกิจการบินหรือ Airline Industry ต่อไป โดยการบินไทยจะเป็นผู้สนับสนุนในเรื่องข้อมูลด้านการบินให้กับนักพัฒนาและ ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ไทย และพร้อมที่จะเป็นประตูนำผลผลิตที่ได้จากการพัฒนาอุตสาหกรรมสารสนเทศของคน ไทยไปสู่สายตาชาวโลกต่อไปในอนาคต สำหรับ SIPA และ ATCI จะให้ความร่วมมือในการคัดเลือก และจัดหานักพัฒนาและผู้ผลิตซอฟต์แวร์ของคนไทยที่มีคุณภาพมาร่วมผลิต ซอฟต์แวร์ให้กับการบินไทยดร.จีรศักดิ์ พงษ์พิษณุพิจิตร์ ประธานกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA กล่าวว่า SIPA เป็นองค์กรภาครัฐที่มีพันธกิจหลักในการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และบริการด้านซอฟต์แวร์ให้ได้มาตรฐานสากล ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นมิติใหม่ที่องค์กรภาครัฐและเอกชนจะช่วยกัน พัฒนาอุสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศไทยให้เติบโตก้าวหน้า โดยเฉพาะในส่วนของผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยที่มีความสามารถและได้แสดง ศักยภาพให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในเวทีระดับนานาชาติมาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่ง SIPA ยังได้มีโครงการในการสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Thailand ICT Awards หรือ TICTA ที่ได้ร่วมมือกับสมาคม ATCI จัดการประกวดและสนับสนุนตัวแทนจากประเทศไทยส่งผลงานเข้าประกวดในงาน Asia Pacific ICT Alliance Awards หรือ APICTA จนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศกลับมา ความร่วมมือในโครงการ IT Sparkling ครั้งนี้ SIPA ถือเป็นเกียรติที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของคน ไทยให้ได้มีโอกาสในการแสดงผลงานออกสู่สายตาชาวโลก SIPA ต้องขอขอบคุณการบินไทย ที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ไทยได้นำข้อมูลอันมีค่ามาพัฒนาให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ รวมทั้งขอขอบคุณสมาคม ATCI นความร่วมมือที่ดีต่อกันเสมอมา SIPA มั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะก่อให้เกิดผลงานซอฟต์แวร์ที่มีความโดดเด่น ตอบโจทย์ทางธุรกิจการบินและประกาศศักยภาพนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทยให้ชาวโลกได้ ชื่มชมผ่านการบินไทย สายการบินที่นานาชาติ


2. จงอธิบายคำต่อไปนี้
Diaster Recovery, Transaction Processing, Virtual Tape Server, Data Recovery, Royal e-Ticketing
1) ฝันร้ายของธุรกิจเกิดขึ้นได้หากมีความล้มเหลวของระบบ หนทางที่จะทำให้ระบบกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วที่สุด และสมบูรณ์ที่สุด คือการนำข้อมูลกลับมาจากระบบสำรองข้อมูล
เหตุการณ์ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 และวินาศภัยอื่นๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมา คงทำให้ทุกคนทราบดีว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบอย่างไร เป็นผลให้บริษัทน้อยใหญ่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย มีการตื่นตัวในเรื่อง Disaster Recovery การป้องกันภัยและกู้คืนระบบ เพราะมีบริษัทจำนวนไม่น้อยที่ต้องล่มสลายไปพร้อมๆ กับเหตุการณ์เหล่านั้น เบื้องหลังของบริษัทเหล่านั้นที่ไม่สามารถหวนคืนกลับสู่เส้นทางธุรกิจได้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ไม่มีระบบป้องกันและสำรองข้อมูลที่ดีพอ ทำให้ข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญต่อธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ ต้องสูญสลายไปกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด การบินไทย 1 ชั่วโมง 10 ล้าน เสียไม่ได้
ตลอดเวลากว่า 42 ปีที่ผ่านมา การบินไทย ในฐานะที่เป็นสายการบินแห่งชาติ ได้เติบโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนที่สำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จนี้ คือระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และการนำไอที มาใช้ร่วมในการพัฒนาระบบงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจองตั๋วเครื่องบิน การเช็คอิน และงานบริการต่างๆ แน่นอนในระบบงานที่ใหญ่โต และเป็นส่วนสำคัญที่สุดขององค์กรจำเป็นจะต้องมีแผนการ หรือมาตรการที่จะมารองรับกับสถานะการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นแล้วมีผลกระทบให้เกิดความเสียหาย โอกาสนี้ คุณบุหงา กรวินัย ผู้อำนวยการฝ่ายงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ จะเปิดเผยถึงหลักการและมาตรฐาน การจัดการเกี่ยวกับการป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นและระบบแบ็กอัพให้กับ eLeader

เริ่มต้นที่ภาพรวมของการบินไทย คุณบุหงาได้สรุปภาพรวมของการบินไทยว่าเป็นสายการบินแห่งชาติที่มีภาระกิจหลักในการให้บริการการขนส่งทางอากาศของประเทศ ปัจจุบันมีเที่ยวบินไปยังเมืองต่างๆ ทั้งสิ้น 77 เมืองใน 34 ประเทศทั่วโลก มีรายได้ปีละ 130,000 ล้านบาท ซึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้หลักมาจากการขนส่งผู้โดยสาร อาจจะกล่าวได้ว่าเบื้องหลังของความสำเร็จนี้มาจากความทุ่มเททั้งแรงกาย และแรงใจของพนักงานการบินไทยทุกฝ่ายตลอดเวลา 24ชั่วโมง7วันคือให้บริการแบบไม่มีวันหยุด

การบินไทยได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาจัดการเชื่อมโยงระบบทั้งหมดของทั้งบริษัทเข้าด้วยกันเปรียบเสมือนกับเป็นกระดูกสันหลังที่คอยควบคุมในการจัดการธุกิจให้สามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบงานไอทีของการบินไทยนั้นมีประสิทธิภาพสูง และเป็นที่น่าเชื่อถือของหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกบริษัท ไม่ว่าจะเป็นระบบงานอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซ์ทราเน็ต และระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม ในโลกยุคดิจิตอลนี้การบินไทยก็ได้มีการนำระบบอีคอมเมิรซ์มาใช้ในการบริการผู้โดยสารภายใต้ชื่อ Royal e-Service ประกอบด้วย Royal e-Booking เป็นระบบงานสำรองที่นั่งผ่านเว็บไซต์ของการบินไทย ด้วยเหตุนี้ผู้โดยสารสามารถเลือกดูเที่ยวบิน วันเวลา ราคาบัตรโดยสาร สำรองที่นั่ง หรือยกเลิกการสำรองที่นั่ง ได้อย่างสะดวกง่ายดายตลอด 24 ชั่วโมง อีกระบบคือ Royal e-Ticketing ระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการยกหูโทรศัพท์เพื่อสำรองที่นั่งผ่านสำนักงานของการบินไทย หรือผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางเพื่อไปจองตั๋วโดยสาร
2 ) ศูนย์คอมพิวเตอร์ 2 ศูนย์กับอุปกรณ์ 2 ชุด
ระบบงานหลักของการบินไทย เกือบจะทั้งหมดทำงานอยู่บนเมนเฟรม เนื่องจากลักษณะของงาน นั้นมีความจุสูง อีกทั้งยังต้องการความเร็วสูงสำหรับการประมวลผลอีกด้วย ดังนั้นจึงมีการจัดเตรียม Backup & Recovery plan ไว้ ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ในส่วนของฮาร์ดแวร์จะต้องมีขีดความสามารถที่จะรองรับงานทุกระบบ งานต่างๆ ของการบินไทยมีอยู่หลายส่วนด้วยกันในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่จะทำให้ระบบงานหยุดชะงัก จำเป็นที่จะต้องจัดการระบบงานที่มีความสำคัญมากให้สามารถทำงานได้ก่อนระบบอื่นๆ ซึ่งลำดับในการจัดการได้มีการกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะนำระบบให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

การบินไทยมีศูนย์ประมวลผลหลักอยู่ 2 ศูนย์ โดยอุปกรณ์ที่ศูนย์ทั้งสองจะมีความสามารถที่ใกล้เคียงกัน คุณบุหงา ได้กล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องมีศูนย์คอมพิวเตอร์มากกว่าหนึ่งแห่งมาจาก การที่การบินไทยนั้นให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วันต่อสัปดาห์ หากศูนย์หนึ่งเกิดปัญหาขึ้นอีกศูนย์หนึ่งก็สามารถทำหน้าที่แทนได้ทันที แต่อาจจะทำงานได้ในระดับที่ไม่เต็มร้อย แต่ยังสามารถที่จะให้บริการต่อไปได้ และในช่วงนี้ก็จะมีการแก้ไขในจุดที่มีปัญหาในศูนย์ที่ล่มเมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะกลับไปใช้งานที่ศูนย์เก่าดังเดิมคุณบุหงาได้ให้ข้อมูลว่า แม้ว่าการบินไทยจะมีศูนย์คอมพิวเตอร์อยู่ 2 ศูนย์แต่ศูนย์ที่สองนี้ ก็มิได้เรียกว่าเป็นศูนย์สำรองเนื่องจากมีการใช้งานตลอดเวลาทั้งสองศูนย์ โดยในแต่ละศูนย์จะมีการใช้ระบบปฏิบัติการที่ต่างกันศูนย์หนึ่งใช้ MVS (Multiple Virtual Storage) หรือ OS/390 สำหรับระบบงานสนับสนุน ส่วนอีกศูนย์จะใช้ TPF (Transaction Processing Facility) สำหรับระบบงานหลักของการบินไทยจะเปิดใช้งานพร้อมกันทั้งสองศูนย์ แต่สาเหตุที่ใช้คนละระบบนั้นเกิดจากการที่ค่าใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ ซึ่งปัจจุบันสูงกว่าฮาร์ดแวร์

โครงสร้างของการทำงานนั้น ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์แต่ละศูนย์จะมีคอมพิวเตอร์อยู่ทั้งหมดสองชุดเพื่อใช้งานที่แตกต่างกัน โดยเครื่องแรกใช้ในระบบงานคอมเมอร์เชียล (commercial Systems) เพื่อสนับสนุนการขาย การบริการ ออกบัตรโดยสาร ตลอดจนการตรวจรับผู้โดยสารขาออก เป็นต้น โดยเครื่องที่สอง ใช้สำหรับระบบงานสารสนเทศที่สนับสนุนระบบปฏิบัติการ ตลอดจนการวางแผนและการตัดสินใจ เช่น ระบบครัวการบิน ระบบซ่อมบำรุงเครื่องบิน ระบบบริหารพัสดุ ระบบจัดตารางบินและระบบอื่นๆ ดังนั้นทั้งสองศูนย์จึงมีเมนเฟรมอยู่ 4 เครื่อง
คอมพิวเตอร์เมนเฟรมทั้ง 4 เครื่อง จะเปิดไว้ตลอดเวลาคือลักษณะเป็น Warm Site ถ้าศูนย์ใดศูนย์หนึ่งมีปัญหาเราจะย้ายระบบมาอีกศูนย์หนึ่งทันที โดยจะต้องมีการกู้ข้อมูลให้ระบบถอยกลับไปก่อนที่จะถึงจุดที่มีปัญหา ข้อมูลจะมีการบันทึกเหมือนกันทั้งสองศูนย์ ระบบ TPF จะเขียนข้อมูลทั้งสองข้างเหมือนกัน แต่ OS/390 จะเขียนฝั่งหนึ่งให้เสร็จก่อน แล้วจึงเขียนอีกฝั่งหนึ่ง และยังมีการใช้ระบบ Virtual Tape Server (VTS) ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุนอย่างคุ้มค่า การสตาร์ตระบบคอมเมอร์เชียลอย่าง TPF ถ้าทุกอย่างพร้อมสามารถเปิดระบบภายในเวลา 5 นาที ผู้ใช้งานจึงเริ่มใช้งานได้ ส่วนระบบ OS/390 จะพร้อมใช้งานภายในเวลา 30 นาที หากเลยเวลาที่กำหนดไปแล้วนั้น จะต้องนำเอาแผนฉุกเฉิน (ส่วนในเรื่องการแบ็กอัพข้อมูล คุณบุหงาอธิบายถึงวิธีการสำรองข้อมูลของการบินไทยว่า Contingency Plan) หรือ Business Continuity Plan มาใช้เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
"เราคำนึงถึงการสำรองข้อมูล ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ และมีการสำรองข้อมูลเก็บในเทปเสมอ "นอกจากนี้เรายังได้คุยกับคุณประเวช แคลลา ผู้จัดการกองปฏิบัติการศูนย์คอมพิวเตอร์และสื่อสารของการบินไทย ซึ่งให้ข้อมูลเสริมว่า "สมัยก่อนข้อมูลยังมีไม่มากเราสามารถสำรองข้อมูลทั้งหมด แต่ปัจจุบันจำนวนข้อมูลได้เพิ่มมากขึ้นเราไม่สามารถ ที่จะจัดเก็บทั้งหมดจึงต้องมีวิธีการจัดการ โดยสำรองข้อมูลเฉพาะ ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลง รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนเป็นต้น"
บทสรุปความสำเร็จการบินไทย
คุณบุหงากล่าวว่า เราให้ความสำคัญกับการทดสอบความพร้อมอยู่เสมอเพื่อที่จะรองรับสถานะการณ์ในรูปแบบต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หากเกิดปัญหาขึ้น ระบบสำรองจำเป็นที่จะต้องทำงานได้จริง เพื่อให้งานต่างๆ สามารถทำต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา ดังนั้นเราจึงมีการทดสอบสลับการปฏิบัติการระหว่างศูนย์ทั้งสองทุก 3 เดือนไม่น้อยกว่าปีละ 2 ครั้ง ส่วนการทำ Data Recovery นั้นจะทำทุกสองเดือน ในการทดสอบจะมีการสมมติสถานการณ์ในรูปแบบต่างๆ ให้ครอบคลุมปัญหาที่เกิดขึ้นให้มากที่สุด จะมีสคริปต์ในการทดสอบ โดยในการทดสอบจะต้องกระทบกับระบบงานหลักให้น้อยที่สุด

จากข้างต้นคงจะเห็นแล้วว่าเบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมดของการบินไทย มาจากเทคโนโลยีสารสนเทศ และแผนการในการเตรียมพร้อมการรับมือสถานการณ์ในรูปแบบต่างๆ ความสำเร็จตลอดระยะเวลา 42 ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นบททดสอบความมีประสิทธิภาพของการบินไทยอย่างดีเยี่ยม นอกเหนือจากนั้นก็มาจากระบบการสำรองข้อมูล และแผนการกู้คืนอย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ถือได้ว่าเป็นบทพิสูจน์ว่า การสำรองข้อมูล เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด
----------------


1. Blog
ความหมายที่อ้างอิงจาก www.webopedia.com เขียนไว้ว่า
Blog (n.) Short for Web log, a blog is a Web page that serves as a publicly accessible personal journal for an individual. Typically updated daily, blogs often reflect the personality of the author.
แปลได้ว่า : Blog ย่อมาจาก "Weblog" โดยตัดตัว "We" ด้านหน้าออกไป และหมายถึงหน้าเว็บที่ใครๆก็เข้าไปอ่านเรื่องที่คนเขียนเรื่องต่างๆเอาไว้ได้ของแต่ละคน โดยมากก็จะอัพเดตกันได้ทุกวัน และ blog มักจะสะท้อนบุคลิกส่วนตัวของเจ้าของ blog
รูปแบบ
รูปแบบของ blog นั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่เป็นหัวข้อลิงค์ง่ายๆไปจนถึงการรวมเรื่องที่มีการให้คนอื่นที่มาดู blog เขียนคอมเม้นท์ไว้ได้ หรือโหวตให้คะแนนได้ blog มักจะลงวันที่และเวลาที่เขียนไว้ด้วย และรายการที่โพสล่าสุดมักจะอยู่ข้างบน เนื่องจากลิงค์เป็นเรื่องสำคัญมากของ blog โดยมาก blog ต่างๆจึงต้องทำลิงค์ให้ไปอ่านเรื่องเก่าๆได้ง่ายและชื่อเว็บที่เรียกเข้า blog แต่ละคนก็จะเขียนแบบง่ายๆด้วยครับ
Blog สื่อใหม่ที่น่าจับตา

Blog คืออะไร? ผู้รู้หลายๆ ท่านมักจะชอบเปรียบเปรยว่า Blog เป็นเหมือนกับสมุดบันทึกหรือไดอารี่ที่เราเขียนเป็นประจำ เพียงแต่สมุดบันทึกดังกล่าวแทนที่จะเขียนบนกระดาษเรากลับเขียนลงบนโลกออนไลน์ ที่คนทั่วโลกเขาสามารถอ่านกันได้ พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นตอบกลับมาได้
เรื่องที่เราเขียนบน Blog อาจจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่อยากจะเขียนไม่ว่าจะเป็นการพร่ำพรรณนาถึงแสงแดด สายลม และความรัก หรือ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เราเจอรอบๆ ตัว หรือ แม้กระทั่งการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ ฯลฯ
ชื่อของ Blog นั้นมาจากคำว่า Weblog แต่เรียกให้สั้นเข้าก็เลยตัด We ออกเหลือเพียงแค่ Blog เท่านั้นครับ และทาง Oxford English Dictionary ก็ได้บรรจุคำๆ นี้ลงในพจนานุกรมของตัวเองแล้วครับ (ขอขอบพระคุณ kapook.com สำหรับข้อมูลนะครับ) Blog ทำให้ทุกคนสามารถกลายเป็นนักเขียนได้อย่างรวดเร็วและสะดวกที่สุด ตอนนี้ประมาณกันว่ามีจำนวนผู้ที่เขียน Blog เป็นประจำมากกว่า 5 ล้านคนทั่วโลก
ถึงแม้อินเตอร์เนตจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในเรื่องของการสื่อสารข้อมูลข่าวสารต่างๆ มานานนับสิบกว่าปีแล้ว แต่ท่านผู้อ่านลองสังเกตดูซิครับว่าข่าวที่สื่อออกไปผ่านทางอินเตอร์เน็ตนั้นก็ยังเป็นข่าวเดิมๆ ที่ได้มีการสื่อผ่านทางช่องทางอื่นอยู่แล้ว ไม่ต้องมองอื่นไกลครับ เว็บข่าวหลายๆ แห่งของเมืองไทยก็นำเนื้อหามาจากหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โดยดัดแปลงเข้าสื่ออินเตอร์เนตเท่านั้นเอง
แต่ในโลกของ Blog หรือที่เขาเรียกกันว่า Blogosphere นั้น โลกของข้อมูลข่าวสารที่เขียนนั้นไม่ได้ถูกควบคุมและผู้เขียนเป็นผู้เลือกสิ่งที่จะเขียน ผลก็คือ Blog หลายๆ แห่งทั่วโลกกำลังกลายเป็นสื่อแห่งใหม่ที่กำลังส่งผลและมีอิทธิพลต่อความคิด วิถีชีวิต หรือพฤติกรรมในการซื้อของ ของคนนับล้านทั่วโลก ซึ่งสุดท้ายองค์กรธุรกิจก็จำเป็นที่จะต้องปรับตัวต่อกระแสความตื่นตัวของ Blog อย่างไรก็ดี ซึ่งในตอนนี้องค์กรยักษ์ใหญ่หลายๆ แห่งก็เริ่มที่จะตระหนักและปรับตัวให้ทันตามกระแส Blog กันมากขึ้น
ในปัจจุบันอาจจะถือว่าวิวัฒนาการและความนิยมของ Blog ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นนะครับ แต่จากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ สำนักต่างมองตรงกันว่า Blog จะเป็นความตื่นตัวครั้งใหม่ในวงการ ซึ่งองค์กรธุรกิจทุกแห่งจะต้องรู้จักที่จะปรับตัวและใช้ประโยชน์จาก Blog ให้เป็น มีการเตือนกันไว้ว่านักการตลาดจะต้องรู้จักที่จะบริหารจัดการกับ Blog ด้วยวิธีการที่แตกต่างจากสื่อธรรมดาทั่วๆ ไป เนื่องจาก Blog ไม่ได้เป็นเพียงที่ๆ จะโฆษณาเท่านั้นนะครับ แต่ยังเป็นที่ๆ คนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย
ท่านผู้อ่านที่อยากจะรู้จักและเข้าใจ Blog ให้มากขึ้นลอง
เริ่มต้นที่ Blogger.com ดูก็ได้นะครับ เป็นของ Google หรือ มีหลายเว็บที่ได้รับการจัดลำดับให้อยู่ในพวกยอดนิยมเช่น www.weblog.ro หรือ www.slashdot.org หรือในเมืองไทยที่ตอนนี้เป็นแหล่งรวม Blog ใหญ่ๆ ก็มีที่เว็บของผู้จัดการ (weblog.manager.co.th) หรือถ้าท่านผู้อ่านยังมีใจวัยรุ่นหน่อยก็ลองไปดูที่ www.kapook.com ก็ได้ครับ ผมเองก็ลองเริ่มเขียน Blog บ้างแล้วครับ ฝากไว้ในเว็บของผู้จัดการ ท่านผู้อ่านลองไปหาดูแล้วกันนะครับ

2.twitter
twitter ได้รับความนิยมอย่างมากมายในสหรัฐอเมริกา นั้นเกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่เป็น technology geek หรือพวกผู้ใช้ระดับสูงที่คุ้นเคยกับการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมากมาก่อน แต่ twitter เองก็มาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกับคนในวงกว้าง เมื่อดาราดังจาก Hollywood อย่าง แอชตั้น คุชเชอร์ หันมาใช้ twitter เพื่ออัพเดทเรื่องราวส่วนตัว และยิ่งไปกว่านั้น แอชตั้นได้ท้าแข่งกับ CNN ว่า twitter ของเค้า กับของ CNN ใครจะมีคนตามอ่าน (follower) ถึงหนึ่งล้านคนก่อนกัน ซึ่งครั้งนั้นปรากฎว่า twitter ของแอชตั้น คุชเชอร์ ได้ครบ 1 ล้านคนก่อน ทำให้ CNN แพ้ไปตามระเบียน แต่จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้คนทั่วไป รู้จัก twitter มากขึ้นเช่นกัน
ทวิตเตอร์ (Twitter) คือเว็บไซต์ที่ให้บริการ blog สั้น หรือที่�� ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า Micro-Blog ซึ่งสามารถให้ผู้ใช้ส่งข้อความของตนเอง ให้เพื่อน ๆ ที่ติดตาม twitter ของเราอยู่อ่านได้ และเราเองก็สามารถอ่านข้อความของเพื่อน หรือคนที่เราติดตามเค้าอยู่ได้ ซึ่ง twitter ก็ถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ประเ�� ท social Media ด้วยเ่ช่นกัน
ในรูปแบบของ twitter นี้ ที่เรียกว่าเป็น blog สั้นก็เพราะว่า twitter ให้เขียนข้อความได้ครั้งละไม่เกิน 140 ตัวอักษร ซึ่งข้อความนี้เมื่อเขียนแล้วจะไปแสดงอยู่ในหน้า profile ของผู้เขียนนั่นเอง และจะทำการส่งข้อความนี้ไปยังสมาชิกที่ติดตามผู้เขียนคนนั้นอยู่ (follower) โดยอัตโนมัติ
Twitter หรือ Micro Blogging เป็นการส่ง message ระหว่างสมาชิกที่มี connection กันด้วยระบบ RSS feed ส่งข้อความผ่านสื่อสองทาง เช่น SMS , instant message, email, Twitter's web site หรือโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นสำหรับการนี้โดยเฉพาะ ด้วยเหตุที่เขียนข้อความได้จำกัดจึงเกิดคำเรียกอีกคำว่า "micro blogging" และข้อความที่ส่งถึงกันมีศัพท์เรียกว่า "Tweets" ซึ่งเปรียบเหมือนเสียงนกร้องอยู่ตลอดเวลา ข้อความที่จะส่งนั้นต้องเป็น plain text เท่านั้นจะแทรกคำสั่งโปรแกรมอะไรไม่ได้ ยกเว้นแต่ hyperlink มายังเว็บเพจของเรา ที่สามารถใส่ไปได้ โดยระบบจะจัดการต่อให้เอง
คนที่ใช้ Twitter โดยมากเป็น blogger ทั่วไปที่ต้องการสื่อสารให้พรรคพวกได้updateแบบรวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนของโลก โดยเริ่มมากจากคำถามที่ว่า What are you doing? แต่ข้อเสียในการใช้งานแบบส่วนตัวเกินไปก็มีมาก เช่น การส่ง message ว่า หิวข้าว อยากกินส้มตำ อยากไปดูหนัง ไปเที่ยวกับแฟนมา ไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้ว ฯลฯ ซึ่งสร้างความรู้สึกที่น่ารำคาญกับผู้รับ Tweets ที่ไม่ได้สนิทสนมด้วย
เดิม Twitter มีจุดประสงค์สำหรับใช้สื่อสารแบบส่วนตัว และไม่เป็นทางการ จึงเต็มไปด้วยสิ่งที่คนอีกกลุ่มหนึ่งตั้งข้อรังเกียจ แต่ตอนหลังๆ คนเริ่มพยายามนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในทางการตลาด ซึ่งนับว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลว เพราะ Twitter บริการส่ง SMS แบบ Broadcasting โดยไม่คิดค่าบริการ ตัวอย่างการนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์ก็ เช่น
• ใช้ในการโฆษณาบอกกันแบบปากต่อปาก ระหว่างสมาชิกด้วยกัน
• ใช้สื่อสารข้อความสั้นๆภายในองค์กร ในส่วนที่ไม่เป็นความลับ
• เหมาะกับกลุ่มที่ทำงานขายงานตลาดในเครือข่ายเดียวกันจะใช้ในสื่อสารบอกความคืบหน้า update ข้อมูลกันและกัน หัวหน้าทีมที่มีผู้ติดตามมากก็จะได้ประโยชน์มากหน่อย เพราะสามารถสั่งงานได้ฉับพลันทันที รับรายงานได้ทันที
• ใช้สื่อสาร update กับผู้อ่าน กลุ่มสมาชิก ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
• ใช้เป็นช่องทางให้ความรู้ที่น่าสนใจแก่สมาชิกกลุ่ม เพิ่ม value ให้กับผู้มอบความรู้
• ใช้แสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะแบบ real time ในหมู่สมาชิก
• ใช้รณรงค์ ประชาสัมพันธ์กิจกรรมเพื่อสังคม หรือ สาธารณประโยชน์กับกลุ่มสมาชิก
• สำนักข่าว สามารถใช้ส่ง headline news ให้กับสมาชิก
• บริษัท ห้างร้าน ใช้ส่งข้อความตามเทศกาล ส่งข่าวเกี่ยวกับสินค้าโปรโมชั่น
การใช้ Twitter จึงเหมือนกับการสื่อสารทางตรงของสมาชิกผู้หนึ่งกับสมาชิกกลุ่มป้าหมาย ซึ่ง connect กันในระบบ online networking ด้วยวิธี broadcasting sms
Social Networking คืออะไร ?
Social Networking ในที่นี้หมายถึงเฉพาะที่เป็นแบบ online ที่สมัครสมาชิกกันได้ฟรีๆ แล้วก็ส่ง message ผ่านทาง instant message หรือ email ไปชักชวนคนอื่นมา connect ด้วย เมื่ออีกฝ่ายดูประวัติคนส่งแล้ว เกิดความสนใจก็ connect กลับ การได้เพื่อนแบบนี้ นอกจากจะได้รู้จักคนที่ connect กันโดยตรงแล้วยังสามารถ connect กับเพื่อนของเพื่อนนั้นได้อีกด้วย จะ connect ไปได้กี่ชั้นก็แล้วแต่ขอบเขตการบริการของผู้ให้บริการนั้น
ส่วนมากบริการทำนองนี้มักจะถูกมองไปในเรื่องของการหาคู่ โดยที่ต่างคนต่างโพสประวัติ (จริงไม่จริง มีคนดียวที่รู้ดี) รูปสวยๆ หล่อๆ ดูภูมิฐาน ไว้ก่อน คุยกันไปคุยกันมาก็กลายเป็นคู่รัก แต่งงานกันไป แต่ที่ถูกหลอกลวงน่าจะมีมากกว่า (ละมัง)
ถ้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ก็ต้องเลือกเครือข่ายที่ให้บริการด้านธุรกิจ เช่น ecademy.com เป็นต้น ในนั้นสมาชิกจะแสดง profile ของตนไว้ พร้อมทั้งเขียน Tag ระบุคุณสมบัติของตัวเอง ของธุรกิจ หรือของสินค้าบริการที่มานำเสนอ เมื่อคนอื่นในเครือข่าย search พบแล้วติดต่อมา ก็จะมีการ add contact พูดคุยกันทางกล่องmessageในเว็บไซต์, instant message อย่าง Skype, MSN, Yahoo หรือ email เป็นการเริ่มต้นสานความคิดและเครือข่ายทางธุรกิจ หรือต่อขาธุรกิจออกไปในกลุ่มนักธุรกิจหรือผู้ที่สนใจจะทำธุรกิจ นักลงทุน นายธนาคาร นักประดิษฐ์คิดค้น คนให้คำปรึกษา ที่มาพบกันในนั้น มีการแนะนำต่อๆกัน เป็นการแสวงหาและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งถ้าทำอย่างมืออาชีพจะเป็นช่องทางในการประกอบอาชีพ หรือเป็นเจ้าของธุรกิจใหม่ๆได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
ของฟรี ไม่มีในโลกฉันท์ใด บริการที่สร้างโอกาสให้กับสมาชิกก็ย่อมต้องมีการลงทุนบ้างฉันท์นั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ เว็บไซต์ที่ให้บริการ social networking นี้จะมีการเก็บค่าสมาชิกตามระดับความได้เปรียบในการเข้าถึงข้อมูลของสมาชิกในกลุ่ม ยิ่ง upgrade สูงเท่าไรก็มีโอกาสได้พบปะนักธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น แถมยังมีสิทธิพิเศษ ได้รับส่วนลดในการร่วมประชุม พบปะสังสรรค์ ฟังอบรม สัมนาที่ผู้ให้บริการร่วมกับสมาชิกผู้มีคุณวุฒิที่ได้รับเชิญมาบรรยายอีกด้วย
ทำไมต้อง Twitter ?
คำตอบอยู่ที่ว่าจะใช้ทำอะไร กับใคร เพื่ออะไร ต่างหาก ถ้าจะใช้ส่วนตัวแบบ ส่งข้อความกับเพื่อนๆ ก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ แต่ถ้าจะใช้ในเชิงธุรกิจ หรือ วิชาการ หรือเพื่อทำสิ่งที่สร้างสรรค์กับตัวเองและผู้อื่น ก็น่าจะลองพิจารณาดู
จะเลือก follow ใคร และ ใครจะมา follow เรา ?
ใครที่มีแนวความคิดที่น่าสนใจ ช่วยเติมเต็มสิ่งที่เราขาด ช่วยเพิ่มพูนสติปัญญาความรอบรู้ด้านที่เราสนใจ เป็นผู้นำทางความคิด เป็นคนรู้เท่าทันข่าวสาร ที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติอะไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราเอง อาจจะต้องการคนสนุกสนานที่จะคอย feed joke ให้เราอารมณ์ดีก็ได้
เมื่อสมัครไปแล้ว เขาจะเห็นเรา ถ้าเขาสนใจตามเรากลับมาแล้ว add เราบ้าง ก็จะกลายเป็นการสื่อสารถึงกันและกัน ต่อไปก็ต้องพยายามโปรโมทตัวเองด้วยการส่ง email ถึงเพื่อนที่เราอยากให้ใช้ Twitter เขียนบทความให้คนรู้ ทำประชาสัมพันธ์ในชุมชนออนไลน์ที่มีคนที่น่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่ แล้วรอดูผล ขณะเดียวกันก็ต้องเริ่ม contribute ด้วยการส่ง Tweets เมื่อทำไปสักพัก อาจจะพบกับพวกที่ชอบส่งเสียงในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็ต้องมีมาตรการดูแลและจัดการด้วยเหมือนกัน เช่น ไม่สนใจ หรือ ไม่ก็พิจารณาตัดออกไปจากสาระบบของเราเสีย
ในระบบจะมีสถิติให้สมาชิกดูว่า สมาชิก follow ใครอยู่กี่คน มีคนมา follow สมาชิกกี่คน มี favourite tweets กี่ข้อความ เป็นต้น
ใช้ Twitter อย่างไรให้ถูกต้อง ?
Tweets ที่ส่งออกไปทั้งหมดจะปรากฎอยู่ใน profile สมาชิกและจะอยู่ต่อไปถ้าไม่มีการจัดการบ้าง และส่วนที่ยังปรากฎอยู่จะแสดงถึงลักษณะความเป็นคุณ (หรือคุณในโลกออนไลน์) อยู่อย่างนั้น ฉะนั้นจงคำนึงถีงสิ่งเหล่านี้ด้วย
• อย่าส่งเสียงน่ารำคาญ เพราะชื่อก็บอกว่าเป็น เสียงนก ดังนั้นถ้าใช้แบบ "เสียงนก เสียงกา" ก็จะไม่มีคนให้ความสนใจได้เหมือนกัน จึงควรต้องระมัดระวัง เลือกคำให้สั้น ให้เหมาะและได้ใจความ เหมือนที่คุณจะใช้หากมีโอกาสได้คุยกับประธานบริหารของธนาคารที่คุณขอกู้เงินในเวลาเพียง 30 วินาที ฉะนั้นจึงอาจต้องฝึกกันบ้าง หรือวางแผนไว้บ้าง
• อย่านิ่งเงียบไป ต้องส่งข้อความให้คนอื่นรู้ว่ายังไม่ตายไปจากโลกนี้
• ลองอะไรใหม่ๆดูบ้าง ถ้าสิ่งนั้นจะทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเองมากขึ้น (ถ้าจะคิดแบบธุรกิจ) บางทีกฎเกณฑ์ก็กลายเป็นข้อจำกัดของการประยุกต์ความคิดสร้างสรรค์ได้เหมือนกัน
• ปรับตัวให้เร็ว ถ้าสิ่งที่ทดลองทำนั้นไม่ได้ผล ก็อย่าทู่ซี้ทำต่อไป ไม่งั้นจะเกิดผลเสียตามมา เว้นแต่เชื่อมั่นว่ามันจะได้ผลแต่อาจจะยังไม่ถึงเวลา ก็อยู่ที่การตัดสินใจของตัวเอง
• อย่าใช้ Twitter เป็น SMS โต้ตอบกับใครเป็นการส่วนตัวจนดูไม่เป็นProfessional ถ้าจำเป็นก็ควรยกหูโทรศัพท์คุยหรือส่ง IM แทน
• ในกรณีที่ต้องคุยใช้ Tweet บอกใครหรือกลุ่มของใครเป็นการเฉพาะ ควรใส่เครื่องหมาย @หน้าชื่อคนนั้นๆ หรือใช้สีที่แตกต่างกัน
• เพื่อตัดปัญหาเวลาคนรับ Tweets ไม่ได้ flollow ทุกคนในกลุ่มที่เราส่ง SMS เขาจึงได้ข้อความไม่ครบ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ จึงควรใช้ถ้อยคำที่ผู้อ่านสามารถจับความได้เป็นดีที่สุด หรือไม่ก็เลือกสื่อสารทางอื่นแทน
• อย่าพยายามขายอะไรใน ธweets เพราะมันจะไม่ work ลองสำรวจดู100 คำที่ไม่ควรใช้ใน email ในเรื่องนี้ก็ดีค่ะ เพราะคนทั่วไปไม่มีใครชอบจดหมายขายสินค้า หรือใช้วิธี hard sell
ก่อนส่ง ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นผู้รับ Tweet นั้น เราจะอยากเป็น follower ของคนนั้นไหม
ส่ง Tweet อย่างไรดี ?
การส่งทาง email แล้วข้อความถูกส่งไปทั้งบนเว็บ และ sms ประหยัดไปได้มาก แต่ต้องใช้ program จาก lifehack.org เพื่อส่ง tweet ทาง email ใน twitter หรือจะใช้ skype หรือใช้ โปรแกรมที่เรียกว่า swype ก็ทำได้เช่นกัน
เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์กับชีวิตประจำวัน ที่เก็บเกี่ยวมาจากการอธิบายของ Caroline Middlebrook เกี่ยวกับ Twitter ซึ่งช่วยคลายข้อสงสัยไปได้มากเหมือนกันค่ะ เพราะก่อนหน้านี้เห็นคนบ่นเกี่ยวกับพวก Twitter ว่าเต็มไปด้วยข้อความไร้สาระ แต่พอมีคนชี้ให้เห็นว่าถ้าเอามาใช้ให้ดีก็น่าสนใจเช่นกัน
3.Facebook
หลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินชื่อ facebook ว่าเป็น social network ที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งถ้าในต่างประเทศ ความยิ่งใหญ่ของ facebook มีมากกว่า Hi5 เสียอีก แต่ในประเทศไทยของเรา Hi5 ยังครองความเป็นเจ้าในด้าน social network ในหมู่คนไทย แต่อย่างไรก็ตาม เราลองมาดูประวัติของ facebook กันดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร

ประวัติ facebook
 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 Mark Zuckerburg ได้เปิดตัวเว็บไซต์ facebook ซึ่งเป็นเว็บประเภท social network ที่ตอนนั้น เปิดให้เข้าใช้เฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเท่านั้น และเว็บนี้ก็ดังขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะแค่เพียงเปิดตัวได้สองสัปดาห์ ครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ก็สมัครเป็นสมาชิก facebook เพื่อเข้าใช้งานกันอย่างล้นหลาม และเมื่อทราบข่าวนี้ มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในเขตบอสตั้นก็เริ่มมีความต้องการ และอยากขอเข้าใช้งาน facebook บ้างเหมือนกัน มาร์คจึงได้ชักชวนเพื่อของเค้าที่ชื่อ Dustin Moskowitz และ Christ Hughes เพื่อช่วยกันสร้าง facebook และเพียงระยะเวลา 4 เดือนหลังจากนั้น facebook จึงได้เพิ่มรายชื่อและสมาชิกของมหาวิทยาลัยอีก 30 กว่าแห่ง
 ไอเดียเริ่มแรกในการตั้งชื่อ facebook นั้นมาจากโรงเรียนเก่าในระดับมัธยมปลายของมาร์ค ที่ชื่อฟิลิปส์ เอ็กเซเตอร์ อะคาเดมี่ โดยที่โรงเรียนนี้ จะมีหนังสืออยู่หนึ่งเล่มที่ชื่อว่า The Exeter Face Book ซึ่งจะส่งต่อ ๆ กันไปให้นักเรียนคนอื่น ๆ ได้รู้จักเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ซึ่ง face book นี้จริง ๆ แล้วก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น จนเมื่อวันหนึ่ง มาร์คได้เปลี่ยนแปลงและนำมันเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต
 เมื่อประสบความสำเร็จขนาดนี้ ทั้งมาร์ค ดัสติน และ ฮิวจ์ ได้ย้ายออกไปที่ Palo Alto ในช่วงฤดูร้อนและไปขอแบ่งเช่าอพาร์ทเมนท์ แห่งหนึ่ง หลังจากนั้นสองสัปดาห์ มาร์คได้เข้าไปคุยกับ ชอน ปาร์คเกอร์ (Sean Parker) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Napster จากนั้นไม่นาน ปาร์คเกอร์ก็ย้ายเข้ามาร่วมทำงานกับมาร์คในอพาร์ตเมนท์ โดยปาร์คเกอร์ได้ช่วยแนะนำให้รู้จักกับนักลงทุนรายแรก ซึ่งก็คือ ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal และผู้บริหารของ The Founders Fund โดยปีเตอร์ได้ลงทุนใน facebook เป็นจำนวนเงิน 500,000 เหรียญสหรัฐฯ
 ด้วยจำนวนสมาชิกหลายล้านคน ทำให้บริษัทหลายแห่งสนใจในตัว facebook โดย friendster พยายามที่จะขอซื้อ facebook เป็นเงิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในกลางปีพ.ศ. 2548 แต่ facebook ปฎิเสธข้อเสนอไป และได้รับเงินทุนเพิ่มเติมจาก Accel Partners เป็นจำนวนอีก 12.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในตอนนั้น facebook มีมูลค่าจากการประเมินอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
 facebook ยังเติบโตต่อไป จนถึงเดือนกันยายนปีพ.ศ. 2549 ก็ได้เปิดในโรงเรียนในระดับมัธยมปลาย เข้าร่วมใช้งานได้ และในเดือนถัดมา facebook ได้เพิ่มฟังค์ชั่นใหม่ โดยสามารถให้สมาชิก เอารูปภาพมาแบ่งปันกันได้ ซึ่งฟังชั่นนี้ได้ัรับความนิยมอย่างล้นหลาม ในฤถูใบไม้ผลิ facebook ได้รับเงินจากการลงทุนเพิ่มอีกของ Greylock Partners, Meritech Capitalพร้อมกับนักลงทุนชุดแรกคือ Accel Partners และ ปีเตอร์ ธีล เป็นจำนวนเงินถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าการประเมินมูลค่าในตอนนั้นเป็น 525 ล้านเหรียญ หลังจากนั้น facebook ได้เปิดให้องค์กรธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ ให้สามารถเข้าใช้งาน facebook และสร้าง network ต่าง ๆ ได้ ซึ่งในที่สุดก็องค์กรธุรกิจกว่า 20,000 แห่งได้เข้ามาใช้งาน และสุดท้ายในปีพ.ศ. 2550 facebook ก็ได้เปิดให้ทุกคนที่มีอีเมล์ ได้เข้าใช้งาน ซึ่งเป็นยุคที่คนทั่วไป ไม่ว่าเป็นใครก็สามารถเข้าไปใช้งาน facebook ได้เพียงแค่คุณมีอีเมล์เท่านั้น
 ในช่วงฤดูร้อนปี 2550 ครั้งนั้น Yahoo พยายามที่จะขอซื้อ facebook ด้วยวงเงินจำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีรายงานว่ามาร์คได้ทำการตกลงกันด้วยวาจาไปแล้วด้วยว่า จะยอมขาย facebook ให้กับ Yahoo และเพียงแค่สองสามวันถัดมา หุ้นของ Yahoo ก็ได้พุ่งขึ้นสูงเลยทีเดียว แต่ว่าข้อเสนอซื้อได้ถูกต่อรองเหลือเพียงแค่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้มาร์คปฎิเสธข้อเสนอนั้นทันที ภายหลังต่อมา ทาง Yahoo ได้ลองเสนอขึ้นไปที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกครั้ง คราวนี้มาร์คปฎิเสธ Yahoo ทันที และได้รับชื่อเสียงในทางไม่ดีว่า ทำธุรกิจเป็นเด็กฯ ไปในทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาร์คปฎิเสธขอเสนอซื้อบริษัท เพราะเคยมีบริษัท Viacom ได้เคยลองเสนอซื้อ facebook ด้วยวงเงิน 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และถูกปฎิเสธไปแล้วในเดือนมีนาคมปี 2550
 มีข่าวอีกกระแสหนึ่งที่ไม่ค่อยดีสำหรับ facebook ที่ได้มีการโต้เถียงกันอย่างหนัก กับ Social Network ที่ชื่อ ConnectU โดยผู้ก่อตั้ง ConnectU ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่ฮาเวิร์ด ได้กล่าวหาว่ามาร์คได้ขโมยตัว source code สำหรับ facebook ไปจากตน โดยกรณีนี้ได้มีเรื่องมีราวไปถึงชั้นศาล และตอนนี้ได้แก้ไขข้อพิพาทกันไปเรียบร้อยแล้ว
 ถึงแม้ว่าจะ่มีข้อพิพาทอย่างนี้เกิดขึ้น การเติบโตของ facebook ก็ยังขับเคลื่อนต่อไป ในฤดูใบไม่ร่วงปี 2551 facebook มีสมาชิกที่มาสมัครใหม่มากกว่า 1 ล้านคนต่อสัปดาห์ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่วันละ 200,000 คน ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ facebook มีสมาชิกมากถึง 50 ล้านคน โดย facebook มียอดผู้เข้าชมเฉลี่ยอยู่ที่ 40,000 ล้านเพจวิวต่อเดือน จากวันแรกที่ facebook เป็น social network ของนักศึกษามหาวิทยาลัย จนวันนี้ สมาชิกของ facebook 11% มีอายุมากกว่า 35 ปี และสมาชิกที่มีอายุมากกว่า 30 ปีก็เข้ามาสมัครใช้ facebook กันเยอะมาก นอกเหนือจากนี้ facebook ยังเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ในตลาดต่างประเทศอีกด้วย โดย 15% ของสมาชิก เป็นคนที่อยู่ในประเทศแคนาดา ซึ่งมีรายงานออกมาด้วยว่า ค่าเฉลี่ยของสมาชิกที่มาใช้งาน facebook นั้ินอยู่ที่ 19 นาทีต่อวันต่อคน โดย facebook ถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐอเมริกาและเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้อัพโหลดรูปภาพสูงที่สุดด้วยจำนวน 4 หมื่นหนึ่งพันล้านรูป
 จากจำนวนสถิติเหล่านี้ ไมโครซอฟต์ได้ร่วมลงทุนใน facebook เป็นจำนวนเงิน 240 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อแลกกับหุ้นจำนวน 1.6 % ในเดือนตุลาคม 2551 ทำให้มูลค่ารวมของ facebook มีมากกว่า 15,000 ล้านบาท และทำให้ facebook เป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 5 ในหมู่บริษัทอินเทอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่ารายรับต่อปีเพียงแค่ 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลายฝ่ายได้อธิบายว่า การตัดสินใจของไมโครซอฟต์ในครั้งนี้ทำเพียงเพื่อที่จะเอาชนะ Google ซึ่งเป็นคู่แข่งขันที่จะขอซื้อ facebook ในครั้งเดียวกันนั้น
 คู่แข่งของ facebook ก็คือ MySpace, Bebo, Friendster, LinkedIn, Tagged, Hi5, Piczo, และ Open

ทำไมต้องใช้เฟซบุ๊ค??
หลายๆท่านคงเคยได้ยินมาแล้วกับคำว่าเฟซบุ๊ค โดยเฉพาะนักท่องอินเทอร์เน็ตคงเคยได้เห็นคำๆนี้ผ่านตามาแล้ว แต่คงจะมีบ้างบางท่านที่รู้จักชื่อ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และจะใช้อย่างไร..
เฟซบุ๊คเป็นเสมือนสังคมๆหนึ่งซึ่งอยู่ในลักษณะของสังคมออนไลน์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า Social Network ซึ่งสังคมออนไลน์นี้เป็นสังคมที่รวมกลุ่มคนที่มีความชอบ ความสนใจในสิ่งเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งกลุ่มที่อยู่ในเว็บไซต์เดียวกัน หรืออยู่คนละเว็บไซต์.. แต่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ สามารถสื่อสาร ส่งต่อ หรือแบ่งปันให้กันได้ จากจุดเริ่มต้นที่คนหนึ่งคนส่งหาเพื่อนอีกคน แล้วมีการส่งต่อกระจายกันออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเครือข่ายสังคมขนาดใหญ่ โดยที่คนในสังคมจะคอยอัพเดทแบ่งปันข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน จนทำให้สังคมออนไลน์เป็นเครือข่ายที่กว้างขวาง และเข้มแข็งมาก
และเฟซบุ๊คก็เป็นสังคมออนไลน์แห่งหนึ่งที่มีคนใช้งานมากที่สุดเว็บไซต์หนึ่งของโลก ในการสมัครเข้าใช้งานก็สามารถทำได้อย่างง่าย เพราะใครๆก็สามารถจะลงทะเบียนเข้าใช้งานเฟซบุ๊คและใช้งานโต้ตอบกับกลุ่มคนในสังคมออนไลน์ที่พวกเขารู้จักได้ ภายในเว็บไซต์เฟซบุ๊ค ได้ถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการใช้งาน
แล้ว เฟซบุ๊ค มีประโยชน์อย่างไรบ้าง?? อย่างแรกคือ เฟซบุ๊คจะเป็นแหล่งรวมกลุ่มเพื่อนของเรา และเพื่อนของเพื่อน นั่นจะทำให้เราได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ และอาจจะได้พบกับเพื่อนเก่าสมัยเรียน เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนมหาลัย ใช้เฟซบุ๊คในการติดตามอ่านข่าวสารของบุคคลที่เราสนใจ หรือดารา นักร้อง คนดังที่เราชื่นชอบ ซึ่งนิยมอัพเดทความเป็นไปผ่านทางเฟซบุ๊ค นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้งานด้านการเรียนการสอน การศึกษา รวมถึงสามารถใช้งานในทางธุรกิจการค้า อย่าง eBay Auction ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นหนึ่งที่ใช้บริการบนเฟซบุ๊ค หรือจะใช้การโฆษณา ประชาสัมพันธ์สินค้า ให้กับองค์กร หรือบริษัท
จากข้อมูลในเดือนตุลาคมปี 2009
 เฟซบุ๊คมีคนใช้งานมากกว่า 300 ล้านคน
 มีมากกว่า 120 ล้านคนที่เข้าสู่ระบบเฟซบุ๊คอย่างน้อยหนึ่งครั้งในแต่ละวัน
 โดยเฉลี่ยนแต่ละคนจะมีเพื่อนราว 130 คนที่เป็นเพื่อนในเว็บไซต์
 มากกว่า 40 ล้านคนปรับปรุงสภาพของตัวเองอย่างน้อยหนึ่งครั้งในแต่ละวัน
 มากกว่า 70 ภาษาที่ถูกแปลในเว็บไซต์เพื่ออ่าน และมากกว่า 40 ภาษาที่มีไว้สำหรับงานในส่วนของการพัฒนา
 มีมากกว่า 60 ล้านคนที่เข้าถึงเฟซบุ๊คผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่
4.Facebook แตกต่างกับ Twitter อย่างไร
เวลาจะซักชวนให้คนอื่นมาเล่น Twitter ก็มักจะมีคำถามเสมอว่า “แล้วมันเหมือนนกับ Facebook
?” หรือ แล้วมันแตกต่างจาก Facebook ตรงไหน ? หรือ มันเล่นเกมส์ได้เหมือน Facebook หรือปล่าว ?
ผมก็มักตอบกลับไปว่า Facebook เนี่ย ไว้สำหรับเรา follow คนที่เรารู้จัก แต่ เราใช้ Twitter
เพื่อที่จะ follow คนที่เราสนใจ
ตัวอย่างเช่น
เราเป็นเพื่อนกับมานะ เราอยากรู้เรื่องของมานะ เราก็ต้องส่ง request ให้ทางมานะ
request มา แล้วเราก็จะรู้ว่ามานะกำลังคิดอะไรอยู่
คราวนี้เราเราเกิดมีความสนใจว่า เออ Bill Gate เค้าทำอะไรมั่งนะ วันๆ ถ้าส่ง request ให้คุณ
Bill Gate คงไม่ request คุณด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น เค้าไม่รู้จักคุณ ต่อให้คุณเป็นเพื่อนเค้า แต่ ลองคิดดูว่า
วัน ๆ จะมีคนเข้ามา ส่ง request ให้ Bill Gate กี่คนต่อวัน ... อันนี้คงมหาศาล (แล้วคิดว่าเค้าจะเข้ามากด request
หมดหรือปล่าว ? ) ...
ดังนั้นเราสามารถขจัดปัญหาเหล่านี้ได้โดยการใช้ Twitter ... คุณ Gate ไม่ต้องมา Accept ผม ..
ผมก็สามารถรู้ทุกอย่างที่คุณอยากจะบอกคนอื่น ๆ ในที่สาธารณะ ได้ เพราะผม follow คุณ Gate อยู่ และนอกจากนั้น บางครั้งผมอาจสามารถได้คุยกับ คุณ Gate ได้ด้วย คือเขียนส่งไปให้นะเค้าจะอ่านไม่ออก ไม่ต้องสนใจแต่เรารู้ว่าได้ส่งหาเจ้าตัวแล้ว ... แต้ถ้าเค้าตอบกลับมา แสดงว่าคุณกำลังจะได้เพื่อนใหม่แล้วละ ... แค่นี้เอง ความแตกต่าง
อีกหนึ่ง คำถาม เล่น Twitter มันสนุกยังไง ? แค่ดูคนอื่นเค้า Post กันเนี่ยนะ คำตอบ ทางเดียวเท่านั้น ที่จะตอบคำถามนี้คือ ลองเล่นดู เท่านั้น เพราะผมก็เป็นเคยตั้งคำถามนี้เหมือนกัน

สรุป ลองเล่นดูทั้งสองอย่าง แล้ว ชีวิต จะเบิกบาน ขึ้นอีกแยะครับ

5.Blog ,Twitter และFacebook ที่เหมือนกัน คือ สังคมออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น